ออกกำลังกาย

การออกกําลังกายเป็นกลไกที่สําคัญในการเสริมสร้างสุขภาพ สมบัติ กาญจนิจ(2541 : 5 ) ได้กล่าวว่า การออกกําลังกายเป็นการใช้แรงกล้ามเนื้อและแรงกายให้เคลื่อนไหวเพื่อให้ร่างกายแข็งแรง มีสุขภาพดี โดย จะใช้กิจกรรมใดเป็นสื่อก็ได้ เช่น การบริหาร เดินเร็ว วิ่ง เหยาะหรือ การฝากที่ไม่มุ่งการแข่งขัน ในขณะที่ สํานักส่งเสริมสุขภาพ กรมสุขภาพ ( 2543 : 14-19 ) ได้กล่าวว่า บทบาทของการเคลื่อนไหวของการออก กําลังกายอย่างสม่ําเสมอ ทําให้เกิดความแข็งแรงสมบูรณ์ของร่างกายในด้านการป้องกันโรค คือ ช่วยลดความ เสี่ยงและปัจจัยที่ก่อให้เกิดโรคเรื้อรังที่สําคัญ เช่น โรคเบาหวาน โรคหัวใจและหลอดเลือด ความดันโลหิต สูง ความอ้วน ฯลฯ อันเป็นผลมาจากขาดหรือเคลื่อนไหวออกกําลังกายน้อย ดังนั้นในกระทรวงสาธารณสุข จึงเล็งเห็นว่าการเคลื่อนไหวออกกําลังกายจึงเปรียบเสมือนเป็นวัคซีนป้องกันโรคเรื้อรัง นอกจากนี้ยังเป็นวิธี หนึ่งในการส่งเสริมสุขภาพและความสุขสบาย ทําให้มีคุณภาพชีวิตที่ดี มีสุขภาพที่ แข็งแรง ทําให้คนเราดูดีขึ้น รู้สึกดี และมีความเพลิดเพลินในชีวิต

วิธีการสอนพลศึกษา

ได้นำเสนอวิธีการสอนพลศึกษา โดยมีเป้าหมายที่จะให้ผู้เรียนได้รับเรียนรู้ในวิธีการสอนที่หลากหลายและแตกต่างกันในการฝึกฝนทักษะใหม่ ๆ
ขณะที่ทำการสอนครูผู้สอนจะมีบทบาทเป็นผู้ดูแล ชี้แนะ หรือแนะนำ ผู้เรียนให้เกิดการเรียนรู้อย่างมีประสิทธิภาพจากการลงมือทำ ฝึกฝนทักษะ
และเกิดทักษะใหม่ ๆ ขั้นตอนการสอนแบ่งออกได้เป็น 4 ขั้นตอนคือ 1) ขั้นการสอน 2) ขั้นสาธิต 3) ขั้นนำไปใช้ 4) ขั้นการยืนยันความรู้
ที่ได้เรียนไป (โดยการดูการสะท้อนกลับจากการทดสอบหรือประเมิน) มีการเสนอชนิดของการฝึก สามารถแบ่งตามลักษณะออกได้เป็น 
4 ลักษณะ ในการใช้ฝึกครูผู้สอนสามารถเลือกใช้ได้ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ที่แตกต่างและการใช้ทักษะนั้น ๆ คือ 1 ) การฝึกที่แน่นอน ตายตัว 
( Fixed practice ) ในบางเวลาที่ต้องการให้ผู้เรียนได้เรียนรู้แบบฝึกที่ซับซ้อน จึงจำเป็นต้องให้ฝึกทักษะที่ซ้ำ ๆ เพื่อให้เกิดความแข็งแรง 
การฝึกลักษณะนี้จะดีมีคุณภาพถ้าได้ฝึกทักษะที่ปิด หรือทักษะที่แยกกันโดยสิ้นเชิง 2) การฝึกที่ปฏิบัติอย่างต่อเนื่องหลาย ๆ ครั้ง ( Massed 
practice ) เหมาะสมมากกับการฝึกทักษะง่าย ๆ 3) การฝึกที่เปลี่ยนแปลงได้ ( Variable practice ) การฝึกแบบนี้เหมาะสำหรับ การฝึก
ทักษะเปิด จะใช้ทักษะต่าง ๆ ในสถานการณ์ที่หลากหลาย 4 ) การฝึกที่แยกทักษะเป็นส่วน ๆ ( Distributed practice ) เหมาะสำหรับการ
ฝึกที่ยาก การฝึกที่มีการเสี่ยงอันตราย หรือทักษะที่อาจเกิดความเมื่อยล้าของกล้ามเนื้อได้ การฝึกทักษะจะเกิดผลดีเท่าไรนั้น
ที่อาจแตกต่างกันขึ้นอยู่กับทักษะของผู้เรียน ตัวอย่างวิธีในการฝึก 1 ) วิธีการสอนแบบรวม ( Whole method ) 2) วิธีการสอนแบบแยกส่วน
Part method 3 ) วิธีการสอนแบบรวม – แยก – รวมส่วน 4 ) วิธีการสอนที่ไปทีละส่วน ( Progressive part method ) 
อ่านรายละเอียดได้ที่ http://www.teachpe.com/sports_psychology/teaching.php 

พละศึกษา

พลศึกษา (อังกฤษphysical education) เป็นวิชาในระดับประถมศึกษาและมัธยมศึกษาซึ่งมุ่งหมายให้เกิดการเรียนรู้เชิงทักษพิสัย (psychomotor learning)[1]

ในสมัยหลังนี้ มีแนวโน้มว่า พลศึกษาพัฒนาเป็นกิจกรรมหลายรูปแบบมากขึ้น การสอนให้นักเรียนทำกิจกรรมทางพลศึกษาตั้งแต่อายุยังน้อยช่วยให้นักเรียนมีอุปนิสัยที่ดีต่อการทำกิจกรรมซึ่งจะมีผลสืบเนื่องต่อไปในวัยผู้ใหญ่ด้วย เช่น ครูบางคนสอนเทคนิคที่ช่วยลดความกดดัน เป็นต้นว่า โยคะ และการฝึกหายใจ ที่เป็นประโยชน์ไม่เพียงต่อกิจกรรมพลศึกษา การสอนให้นักเรียนเล่นกีฬาซึ่งมิใช่ของท้องถิ่นนั้นยังช่วยให้นักเรียนมีแรงจูงใจเข้าร่วมกิจกรรมอื่น ๆ มากขึ้น ทั้งยังช่วยนักเรียนเรียนรู้วัฒนธรรมต่าง ๆ ด้วย เช่น เมื่อสอนบทเรียนเกี่ยวกับกีฬาลาครอส (lacrosse) นักเรียนจะได้เรียนรู้วัฒนธรรมพื้นเมืองอเมริกันทางแคนาตะวันออกเฉียงเหนือและตะวันออกซึ่งเป็นแหล่งกำเนิดลาครอสด้วย